ซึ่งมิอาจปลอบประโลม (L'Inconsolable) [mr06]
ผลงานของ อานน์ โกดาร์ (Anne Godard)
แปลโดย วัลยา วิวัฒน์ศร
สำนักพิมพ์ ผีเสื้อ
จำนวนหน้า 216 หน้า
หนังสือใหม่มือหนึ่งสภาพดี
ราคาปกติ 159 บาท ลดเหลือ 143 บาท
(ราคานี้ยังไม่รวมค่าจัดส่ง)
+++ รายละเอียดหนังสือ +++
นวนิยายเรื่อง “ซึ่งมิอาจปลอบประโลม” อ้างถึงความทุกข์ของพระแม่มารี เมื่อสูญเสียพระเยซูคริสต์ ตัวละครเอกเปรียบตนเองเป็น master dolorosa หรือแม่พระมหาทุกข์ เพราะตนเองก็เสียลูกชายไปเช่นกัน เพลงที่ตัวละครเอกชอบฟังคือ stabat Mater หรือ พระแม่ผู้ยืนคร่ำครวญ ซึ่งบรรยายความทุกข์ของพระแม่มารีขณะยืนอยู่ใกล้ฐานไม้กางเขน แหงนมองพระผู้ไถ่บาปซึ่งถูกตรึงอยู่
นอกจากจะเปรียบตัวเองเป็นแม่พระมหาทุกข์แล้ว ตัวละครเอกยังพอใจทนทุกข์ให้ถึงที่สุดก่อนตาย โดยปรารถนาให้ตนเองป่วยเป็นโรคนิโอเบ กล่าวคือเป็นอัมพาตจนแข็งทั้งตัว
นวนิยายเล่มนี้สำหรับทุกคนที่มีแม่ และทุกคนที่เป็นแม่ แต่ไม่เหมาะสำหรับเด็กเริ่มอ่าน
‘ซึ่งมิอาจปลอบประโลม’
นวนิยายเรื่องแรกของอาจารย์มหาวิทยาลัย วัย ๓๖ ปี
เรื่องนี้ ได้รับรางวัล RTL อันอาจจะถือเป็นรางวัลมหาชน
ของนักอ่านชาวฝรั่งเศส ในปีแรกที่พิมพ์ คือ ค.ศ. ๒๐๐๖
------------------------------------------------------------------------------------
นักเขียน พูด : อานน์ โกดาร์
"ฉันเกิดที่กรุงปารีส เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.๑๙๗๑ ในครอบครัวนักอ่าน พ่อเป็นฅนขายหนังสือ ปู่คือ พอล ฮาร์ตมันน์ มีกิจการสำนักพิมพ์ และยังเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Le Mercure De France
"ฉันเรียนด้านวรรณกรรม และทำวิทยานิพนธ์เรื่อง 'บทสนทนาในยุคเรอเนซองซ์'
ตอนนี้ก็เลยสอนวรรณคดีอยู่ที่มหาวิทยาลัย ซอร์บอนน์ นูแวลล์ (ปารีสIII)
"แต่การสอนด้านวรรณคดีไม่ได้ช่วยในด้านการเขียนของฉันนักหรอก ฉันรู้สึกตรงข้ามมากกว่า เพราะการเป็นครูนำเราไปสู่การวิเคราะห์และทฤษฎี ขณะที่การเขียนนำฉันไปสู่ความรู้สึกส่วนตัว ด้านภาษามากกว่า ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า 'วรรณกรรม'
การเขียนทำให้รูปแบบการสอนของฉันเปลี่ยนไป ทำให้ฉันสนใจความรู้สึก และจินตนาการของผู้อ่านมากขึ้น และอยากให้นักศึกษาได้แสดงความรู้สึกว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรมากกว่าที่จะให้บอกว่า พวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับนักเขียนหรือเกี่ยวกับหนังสือ นักศึกษาของฉันส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ จึงยิ่งน่าสนใจที่จะได้ฟังการแบ่งปันประสบการณ์อันหลากหลายเกี่ยวกับการอ่าน และความเพลิดเพลินในวรรณกรรม
"ฉันชอบอ่านนวนิยายและชีวประวัติ เพราะการเขียนแบบนั้นจะมีภาษาในรูปแบบพิเศษผู้เขียนไม่เพียงจะเล่าเรื่องเท่านั้น แต่ยังชักนำเราไปสู่ภาษาและอารมณ์ด้วย
"ก่อนเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ฉันเคยเขียนเรื่องสั้นสอง-สามเรื่อง สองเรื่องตีพิมพ์ในนิตยสาร La Nouvelle Revue Francaise ฉันเขียนบทละครด้วย แต่ยังไม่ได้ตีพิมพ์
"ฉันว่าการอ่านนั้นช่วยให้ฉันอยากจะเขียน และเมื่อฉันเริ่มคิดจะเขียน การอ่านก็เป็นแรงกระตุ้นให้ความปรารถนาจะเขียนดำเนินสืบไป แม้จะรู้สึกว่ายาก แต่ฉันโชคดี มีนักเขียนชาวออสเตรียฅนหนึ่งในช่วงนั้น คือ โธมัส เบอร์นาร์ด ได้ช่วยฉันไว้มาก
"ต้นฉบับของฉันที่พิมพ์เล่มเรื่องนี้ ไม่เคยมีใครได้เห็นแม้แต่สามีของฉันเมื่อเขียนเสร็จฉันก็ส่งให้บรรณาธิการ คือ อิเรน ลินดอน บรรณาธิการสำนักพิมพ์ Les Editions de Minuit อิเรนอ่านต้นฉบับแล้วก็แนะให้นำกลับมาแก้ไข ฉันต้องแก้ไขมากทีเดียวก่อนจะส่งกลับไปอีกครั้ง
"ตอนนี้ฉันเริ่มโครงการเขียนเรื่องใหม่สองโครงการ ต้องใช้เวลามากทีเดียวเพราะฉันอยากค้นหาเทคนิคหรือหนทางพิเศษในการเขียน ตราบใดที่ยังค้นไม่พบหรือยังไม่กระจ่าง ฉันก็จะเขียนต่อไปไม่ได้ เช่นเดียวกับเรื่อง 'ซึ่งมิอาจปลอบประโลม' นั่นแหละ---แต่ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ฉันยังสนใจอยู่ที่เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว ความเงียบ ความยากลำบากในประสบการณ์บางอย่างที่อธิบายหรือพูดออกมาง่ายๆไม่ได้
"วันหนึ่งฉันพบนักอ่าน บางฅนในหมู่นักอ่านของฉันแปลกใจว่า ฉันดูอ่อนวัยกว่าที่เขาคิด เขาจินตนาการว่าฅนเขียนเรื่องนี้ต้องเป็นฅนชรา
"นักอ่านบางฅนทำให้ฉันรู้สึกปลื้ม ก็คือ เขาบอกว่าเขาอ่านเรื่อง 'ซึ่งมิอาจปลอบประโลม' ของฉันแล้วรู้สึกเหมือนกับอ่านนิยายสืบสวนสอบสวน อ่านรวดเดียวจบชนิดวางไม่ลง!"
------------------------------------------------------------------------------------
ความนำสำนักพิมพ์
หนังสือเล่มนี้ ใช้เวลาเดินทางเนิ่นนานเช่นเดียวกับเล่มอื่นๆ
ของผีเสื้อ และสำนักพิมพ์ในครอบครัว
แต่บัดนี้ก็ได้อยู่เบื้องหน้าผู้อ่านแล้ว
‘ซึ่งมิอาจปลอบประโลม’ นับเป็นความร่วมมือ ระหว่างสถานเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส
ในประเทศไทยกับสำนักพิมพ์ผีเสื้อ กล่าวคือ รัฐบาลฝรั่งเศสได้ให้ทุนดูงาน
ด้านระบบหนังสือ สำนักพิมพ์ การพิมพ์ และการประพันธ์ในประเทศฝรั่งเศส
แก่บรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ครั้งนั้น ดร.วัลยา วิวัฒน์ศร ผู้แปลในฐานะ
บรรณาธิการฅนหนึ่ง จึงมีโอกาสเดินทางไปพบกับผู้เขียนที่ประเทศฝรั่งเศส
สำนักพิมพ์ผีเสื้อขอขอบคุณรัฐบาลฝรั่งเศส และสถานเอกอัครราชฑูตฝรั่งเศส ณ ที่นี้
สำนักพิมพ์ผีเสื้อฝรั่งเศส
พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖
------------------------------------------------------------------------------------
บันทึกผู้แปล
ในการอ่านและการแปลนวนิยายตะวันตก ผู้อ่านและผู้แปลย่อมนำตัวเข้าไปอยู่ในบริบททางวัฒนธรรมตะวันตก ความเข้าใจประเด็นต่างๆ ทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในนวนิยายจะช่วยให้เข้าถึงเนื้อหาสาระได้ดีขึ้น
นวนิยายเรื่อง ‘ซึ่งมิอาจปลอบประโลม’ อ้างถึงความทุกข์ของพระแม่มารีเมื่อสูญเสียพระเยซูคริสต์ ตัวละครเอกเปรียบตนเองเป็น mater dolorosa หรือ แม่พระมหาทุกข์ เพราะตนเองก็เสียลูกชายไปเช่นกัน เพลงที่ตัวละครเอกชอบฟังคือ Stabat Mater หรือพระแม่ผู้ยืนคร่ำครวญ ซึ่งบรรยายความทุกข์ของพระแม่มารีขณะยืนอยู่ใกล้ฐานไม้กางเขน แหงนมองพระผู้ไถ่บาปซึ่งถูกตรึงอยู่ ลูกชายของตัวละครเอกเล่นเปียโนโซนาต้าหมายเลข ๑๗ ชื่อ The Tempest หรือพายุของเบโทเฟ่น ตัวละครเอกหวนนึกถึงนวนิยายร่วมสมัยของ Thomas Bernhard เรื่อง Le Naufrage ซึ่งกล่าวถึงนักเปียโนที่ฆ่าตัวตายเพราะไม่อาจเล่นสู้นักเปียโนยิ่งใหญ่ มีตัวตนจริงชื่อ Glenn Gould คำว่า Le Naufrage แปลตามตัวอักษรว่า ผู้จมน้ำตาย ในนวนิยายเรื่อง‘ซึ่งมิอาจปลอบประโลม’จึงมีการใช้อุปลักษณ์ต่อเนื่อง ระหว่างพายุกับการจมน้ำ ผู้แปลได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Anne Godard ผู้ประพันธ์ เธอเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยปารีสสาม เธอให้ความกระจ่างแก่ผู้แปลในเรื่องบริบททางวัฒนธรรมนี้
และแนะนำให้ผู้แปลฟังโซนาต้า หมายเลข ๑๗ ของเบโทเฟ่น รวมทั้งเพลง Stabat ซึ่งเรียบเรียงเสียงประสานโดย Pergolesi
นอกจากจะเปรียบตัวเองเป็นแม่พระมหาทุกข์แล้ว ตัวละครเอกยังพอใจทนทุกข์ให้ถึงที่สุดก่อนตาย โดยปรารถนาให้ตนเองป่วยเป็นโรคนิโอเบ กล่าวคือเป็นอัมพาตจนแข็งทั้งตัวชื่อนิโอเบมาจากเทพนิยายกรีก นิโอเบเป็นราชินีเมืองฟรีเชีย เธอมีโอรสและธิดาอย่างละเจ็ดฅน เนื่องจากเธอโอ้อวดว่าเป็นหญิงผู้บริบูรณ์กว่าเลโต้พระมารดาของเทพอพอลโลและอาร์ธีมี เทพทั้งสองจึงแก้แค้นให้มารดาตนด้วยการฆ่าลูกของนิโอเบไปสิบสามฅน นิโอเบมิอาจหักห้ามความเศร้าโศกได้จูปิเตอร์จึงสาปให้เธอกลายเป็นหิน
ประเด็นท้าทายผู้แปลประเด็นหนึ่งในการแปล นวนิยายเรื่องนี้คือสรรพนามบุรุษที่สองเอกพจน์ 'tu' ในภาษาฝรั่งเศสซึ่งผู้ประพันธ์กำหนดให้ตัวละครเอกใช้แทนตัวเองในบทรำพึงตลอดทั้งเรื่อง ทั้งนี้เพื่อสร้างความห่างระหว่างตัวเองกับ ถานการณ์ในความ ทรงจำซึ่งย้อนกลับไปถึงยี่สิบปี ผู้ประพันธ์อธิบายขณะให้สัมภาษณ์ว่า เธอทดลองเขียนโดยใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเอกพจน์ 'je' และพหูพจน์ 'nous' รวมทั้งสรรพนามบุรุษที่สองพหูพจน์ 'vous' ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสมีความหมายเป็นเอกพจน์ได้ด้วยและใช้พูดอย่างเป็นทางการแล้ว เธอลงเอยด้วยการเลือกใช้ 'tu' ในตอนแรกผู้แปลทดลองแปล 'tu' ด้วย'เธอ' ในฐานะสรรพนามบุรุษที่สองเอกพจน์ (ไม่ใช่สรรพนามบุรุษที่สาม) และเข้าประโยคให้เป็นภาษาพูดใน ลักษณะการพูดกับตนเอง มีคำลงท้ายประเภท 'ไงล่ะ' 'มิใช่หรือ' 'หรือไง'ฯลฯ คล้ายเป็นการตั้งคำถามหรือ พูดย้ำกับตนเอง แต่คำลงท้ายเหล่านี้ก็ดูรกรุงรังไปหมด จึงเปลี่ยน 'เธอ' เป็น 'เรา' ในฐานะสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง เอกพจน์ (ไม่ใช่พหูพจน์) แต่เมื่อทดลองอ่านประโยคแปลแล้วก็ยังรู้สึกแปร่ง ในที่สุดจึงใช้ 'แก' ซึ่งเป็นสรรพนามบุรุษที่สอง เอกพจน์ แต่ใช้แทนตัวเองเหมือนเป็นสรรพนามบุรุษที่หนึ่งแล้วเห็นว่า สื่อความหมายตรงกับประโยคภาษาฝรั่งเศสต้นฉบับพอดี จึงรู้สึกโล่งใจและดีใจผู้แปลขอขอบคุณ Jean Charconnet แห่งฝ่ายวัฒนธรรม สถานทูตฝรั่งเศซึ่งเป็นผู้แนะนำนวนิยายเรื่องนี้แก่ผู้แปล และดำเนินการเรื่องลิขสิทธิ์ให้ ขอขอบคุณ Julie Pomponi เพื่อนร่วมงานซึ่งได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้และได้ร่วมถกเถียงกับผู้แปลในประเด็นต่างๆอีกทั้งช่วยกันตีความความหมายบางประโยค
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ผีเสื้อที่ให้โอกาสผู้แปลเป็นผู้แทนสำนักพิมพ์ไปงานสัปดาห์หนังสือที่ปารีสเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และได้พบผู้ประพันธ์ซึ่งทำให้แปลงานได้ สะดวกราบรื่นขึ้นขอขอบคุณ Jean Marcel Paquette ผู้ประสบความสำเร็จในการหาโซนาต้าหมายเลข๑๗ ของเบโทเฟ่น และเพลง Stabat ของ Pergolesi ให้ผู้แปล และท้ายสุดขอขอบคุณ คุณมกุฏ อรฤดี ในฐานะบรรณาธิการต้นฉบับแปลเรื่องนี้
วัลยา วิวัฒน์ศร
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
